Saturday, November 22, 2014

ตัวอย่างธุรกิจสีเขียว เพลินข้าวบ้าน

โครงการเพลินข้าวบ้าน"
อนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้านในวิถีที่เป็นมิตร
และสอดคล้องกับธรรมชาติ
สนับสนุนการพึ่งตนเองสู่ชุมชนเพื่อความยั่งยืนเริ่มขึ้นเมื่อธันวาคม 2555 โดยสนับสนุนองค์ความรู้
ในการอนุรักษ์ข้าวพื้นบ้านในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
และความรู้อื่นๆที่ชาวนาในพื้นที่นั้นๆ ยังขาด
ให้กับชุมชนในอ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
โดยเมื่อมีนาคม 2556 ได้ก่อตั้งเป็น
"วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์เพลินข้าวบ้านอู่ทอง"
ดังที่ได้รู้จักกัน (https://www.facebook.com/pkb.uthong)
เริ่มขึ้นเมื่อธันวาคม 2555 โดยสนับสนุนองค์ความรู้
ในการอนุรักษ์ข้าวพื้นบ้านในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
และความรู้อื่นๆที่ชาวนาในพื้นที่นั้นๆ ยังขาด
ให้กับชุมชนในอ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
โดยเมื่อมีนาคม 2556 ได้ก่อตั้งเป็น
"วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์เพลินข้าวบ้านอู่ทอง"
ดังที่ได้รู้จักกัน (https://www.facebook.com/pkb.uthong)
ผลิตภัณฑ์
โดยมีเป้าหมายหลัก คือ
(1) เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาส่งเสริมความหลากหลาย
ทางพันธุ์ข้าวพื้นบ้านของแต่ละท้องถิ่นในระบบนาอินทรีย์ยั่งยืน
โดยสนับสนุนและให้ความรู้ชาวนาในการทำนาอินทรีย์ยั่งยืน
ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกเพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งชาวนา
และผู้บริโภค รวมถึงระบบนิเวศ
(2) สนับสนุนให้เกิดวิถีพึ่งตนเองอย่างยั่งยืนในชุมชน
โดยหนุนเสริมองค์ความรู้ที่ชุมชนต้องการ
(3) สร้างสังคมแห่งการเกื้อกูลกันโดยจัดกิจกรรม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาวนาและผู้บริโภค
เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ลดช่องว่างระหว่างกัน
(4) รวบรวมองค์ความรู้สร้างฐานข้อมูลข้าวพื้นบ้านไทย
แก่ผู้ที่สนใจเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญ
ในการช่วยกันอนุรักษ์และพัฒนาส่งเสริมความหลากหลาย
ของพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน

จุดเริ่มต้นกว่าจะเป็น เพลินข้าวบ้าน
เริ่มต้นมาจากโครงการในกระดาษ หลังจากนั้นก็เขียนโครงการเข้าไปที่ ChangeFusion ซึ่งเขาสนับสนุนการทำกิจการเพื่อสังคม โดยให้ทุนมาบางส่วนในช่วงเริ่มต้น เริ่มเมื่อตอนธันวาคม ปี2555

เลือกสายพันธุ์ข้าวมาปลูกอย่างไร
เราได้รับคำแนะนำจากมูลนิธิข้าวขวัญช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยเราเริ่มที่ข้าวเหลืองอ่อนกับข้าวหอมสนั่นทุ่งที่มูลนิธิข้าวขวัญพัฒนาไว้ให้เป็นข้าวนาปรัง
เสียงตอบรับจากชาวบ้านเป็นอย่างไร
จริงๆชาวบ้านสนใจ เพราะเขาเห็นคนเมืองมากมายหันมาตื่นตัวและสนใจเกษตรอินทรีย์ แต่ก็ยังคงไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงมากนัก อาจเป็นเพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากจุดเริ่มต้นมานานมากแล้ว อาจต้องใช้ระยะเวลาเพื่อกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิมๆอีกครั้ง
แล้วนาเคมีกับนาเกษตรอินทรีย์แตกต่างกันอย่างไร
นาเกษตรอินทรีย์จะมีสัตว์ต่างๆอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแมลงเต่าทอง แมลงปอจะบินวนบนแปลงนามากมาย แมงมุม นก ปลา หอย มีบัว มีสาหร่ายขึ้น อยู่มากมายในน้ำ ระบบนิเวศต่างๆจะสมดุล ทุกอย่างจะเอื้อกันเองโดยธรรมชาติ แต่หากมองไปนาเคมีที่อยู่ติดกันจะสังเกตเห็นได้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เรากล่าวมานั้นแทบจะไม่เห็นเลย อีกทั้งสิ่งที่สำคัญคือ นาอินทรีย์มีต้นทุนที่ถูกกว่านาเคมีมากอีกด้วย
เราประณีตตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเมล็ดพันธุ์และการปลูก ต้องใส่ใจในทุกกระบวนการในช่วงเริ่มต้น เมื่อปลูกไประบบนิเวศจะหวนกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง ก็จะเข้าสู่ความสมดุล สัตว์และพืชพันธุ์ทางอาหารกลับคืนมา ฉะนั้นความมั่นคงทางอาหารของชาวบ้านก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง ระบบนิเวศที่สูญเสียไปก็จะได้รับการฟื้นฟูกลับมาใหม่ให้กลับสู่สมดุล แล้วเขาก็จะดูแลกันเองแมลงตัวที่ดีก็จะกำจัดแมลงตัวไม่ดีออกไป ทุกอย่างจะดูแลกันเอง ซึ่งการสมดุลคือหัวใจหลัก
ชาวบ้านเริ่มหันมาสนใจเยอะขึ้นหรือไม่
จากเริ่มต้นมีเพียง 7 ครอบครัว ต่อมาชาวบ้านเห็นเรามีกิจกรรมเยอะขึ้นก็เริ่มสนใจมาเข้าร่วมเป็น 20 กว่าคน จนตอนนี้สามารถตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนได้แล้ว แม้จะกลับมาไม่เต็มตัวมากแต่เขามีความสนใจและอยากเรียนรู้ อยากมีส่วนร่วม โดยบางครอบครัวอาจมาทำอาหารให้มาทาน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้เอื้อเฟื้อกัน มีความสนุก อีกทั้งทำให้เขาภูมิใจในวิถีชีวิตของเขา  เมื่อเขาภูมิใจในวิถีชีวิตของเขา เขาก็มีความสุข แล้วก็จะลดการย้ายถิ่นฐาน มันทำให้พวกเขาแกร่งจากรากอย่างแท้จริง
เราเห็นพวกเขาสุขภาพดีขึ้น สนุก มีความสุข เราก็ยิ้มและมีความสุขตาม เราทำอย่างเพลินใจ สมชื่อ เพลินข้าวบ้าน
ประโยชน์ที่ชาวบ้านได้รับคืออะไร
ที่แน่นอนที่สุดคือสุขภาพของเขาดีขึ้น เขาก็มีความสุข ในด้านต้นทุนก็ใช้เงินน้อยกว่า และหากเขาประณีตและใส่ใจในนาของเขา ข้าวก็ออกมาคุณภาพดี ก็จะได้ผลตอบแทนที่ดี อีกทั้ง เพลินข้าวบ้านเรารับซื้อข้าวอินทรีย์ของชาวนาในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นการประกันความเสี่ยงให้เขา และเป็นการจูงใจให้เขาหันมาเพาะปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์มากขึ้น เพื่อความสุขทางกายและทางใจแกเขาอย่างยั่งยืน
ข้าวทุกๆ1กิโลกรัม ที่ทุกท่านซื้อไป หักต้นทุนแล้ว กำไรหัก 50เปอร์เซ็นต์นำมาเป็นต้นทุนให้แก่ชาวนาที่สนใจทำนาอินทรีย์ต่อๆไป ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็นำกลับเข้าสู่วิสาหกิจชุมชนเพื่อให้เขานำมาเป็นต้นทุนบริหารอีก

ความท้าทายในการทำนาที่นี่เป็นอย่างไร
ความท้าทายอยู่ที่พันธุ์ข้าวที่เรามีตอนนี้คนไม่ค่อยรู้จัก มันเหมือนยังใหม่สำหรับตลาด คนมักถามว่าหอมมะลิหรือเปล่า ซึ่งเราก็ตอบเขาไปว่า เรามีแค่หอมสนั่นทุ่งกับเหลืองอ่อน ซึ่งจะเป็นพันธุ์ข้าวที่ต่างออกไปและมีสารอาหารที่แตกต่างกัน ก็ต้องอธิบายพอสมควร เพราะเพิ่งเปิดตลาดใหม่
ความสุขที่ได้รับกลับมาเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้สัมผัสความสุขแบบนี้มาก่อน นั่นคือเป็นความสุขแบบที่มันอิ่มอยู่ในใจ แค่ได้พูดคุยกับชาวบ้านมันก็อิ่มใจ วิถีชีวิตแบบครอบครัวชนบท ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น จะต่างกับตอนที่เราใช้ชีวิตในกรุงเทพที่วันๆเราทำงานหาเงินมาเพื่อซื้อของ มันก็เท่านั้นจริงๆ แต่ความสุขที่เราได้รับจากชาวบ้านมันสุขแบบอิ่มใจ และอิ่มใจอย่างยาวนาน
สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขที่เงินไม่สามารถหาซื้อได้ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเรามีญาติมิตรอยู่เยอะไปหมดเลย มันเป็นความสุขที่วัตถุใดๆก็ทดแทนไม่ได้เลยจริงๆ


มีความเชื่อในสิ่งใดบ้าง
เชื่อในตนเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราเกิดมาคนเดียว ตายคนเดียว คนที่เราต้องอยู่ด้วยมากที่สุด แต่เรามักไม่ค่อยรู้จักเลยก็คือตนเอง การที่ได้มาทำ เพลินข้าวบ้านทำให้ได้รู้จักตนเองมากขึ้น เห็นว่าตนเองคือธรรมชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่เคยเห็นเลย
ก่อนหน้านี้มองมนุษย์ว่าไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะเราใช้ชีวิตไปตามระบบ ซึ่งจริงๆแล้วเราเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ เราคือจุดเล็กๆของระบบนิเวศที่มนุษย์เองมักมองไม่เห็น โลกจะดีหรือไม่ดีล้วนอยู่ที่ตัวเราด้วยทั้งสิ้น
คาดหวังในสิ่งใดต่อไป
เพลินข้าวบ้านหวังไว้ว่าระบบจะทำให้มันอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองในอนาคต ตอนนี้เราอาจเหนื่อยหน่อยในการสร้างระบบขึ้นมา แต่เมื่อมันสร้างระบบที่ดีได้แล้ว มันจะยืนอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเราหรือใคร อีกทั้งชาวบ้านจะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ในอนาคตก็มองเอาไว้ว่าอยากทำในหลายพื้นที่ เพราะพื้นถิ่นของข้าวแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน ก็อยากให้ได้ทานข้าวในแต่ละพื้นถิ่นที่หลากหลายและดีต่อสุขภาพกาย ทั้งส่งเสริมสุขภาพใจของคนพื้นถิ่นอีกด้วย ตอนนี้ได้เพียงเริ่มเท่านั้นก็ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
ส่วนความคาดหวังกับตนเองนี่แทบไม่ค่อยมี แค่อยากทำทุกวันให้มันดี มีความสุขก็เพียงพอแล้ว











No comments:

Post a Comment